หลังจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของประชาชนจากทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยเอง เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าหลังฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ส่งผลข้างเคียงให้กับประชาชนในระดับที่แตกต่างกันไป ระดับผลข้างเคียงที่ว่านี้เช่น ป่วยหลังจากการฉีดวัคซีน เช่น อาการอ่อนเพลีย, ปวดหัว, อาเจียนฯ ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นอาการที่พบบ่อยของประชาชนที่ได้ฉีดวัคซีน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ และไม่อันตราย
ในขณะที่ประชาชนบางกลุ่มอาจได้รับผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนที่รุนแรงเลยก็คือ “อาการแพ้วัคซีนอย่างรุนแรง” เช่น มีผื่นขึ้นตามร่างกาย, หน้าบวม ปากบวม, แขนขาอ่อนแรง, ชาครึ่งซีกฯ ซึ่งอาการเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวันของพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด บางคนอาจรักษาได้ แต่ในบางคนที่โชคไม่ดีก็ไม่สามารถที่จะรักษาได้และร่างกายก็ไม่สามารถที่จะฟื้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป
ทีมงานของ FirstMedInc ได้เห็นถึงความสำคัญของประชาชนที่ได้รับผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 บางคนไม่มีกำลังทรัพย์แม้แต่จะเยียวยารักษาตนเอง, บางคนเรียกร้องเงินชดเชยจากรัฐบาล แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวทีมงาน FirstMedInc จึงได้ทำงานร่วมกับแพทย์และพยาบาลในประเทศไทยและในหลายประเทศอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งบริจาคยาให้กับผู้ป่วยที่แพ้วัคซีนโควิด-19 ที่ไม่มีกำลังทรัพย์ที่จะรักษาพยาบาล, ทั้งให้ความรู้ในการรักษาตนเองฯ เพื่อหวังว่าพวกเขาจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
กระบวนการช่วยเหลือประชาชนนี้ยังช่วยให้ทีมงาน FirstMedInc สามารถทดสอบวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 วิธีการที่ทีมงานของเราค้นพบและเห็นผลว่ามีประสิทธิภาพที่ดีคือ “ดีท็อกซ์ขจัดสารพิษ”เช่น รักษาด้วยการทานยาไอเวอร์แมกติน (Ivermectin), ทานยาไฮดร็อกซี่คลอโรควิน(Hydroxychloroquine), ทานวิตามินที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุสังกะสี (Zinc), ทานวิตามินซี (Vitamins C), วิตามินดี (Vitamins D) และทานยากลุ่มละลายเสมหะหรือแนค NAC (N-acetylcysteine)
นอกจากนี้ทีมงานของเรากำลังทดลองการรักษาทางเลือกอื่นๆ ควบคู่ไปกับวิธีการดีท็อกซ์ ซึ่งวิธีการทดลองเหล่านี้คือการรักษาด้วยสมุนไพรจีนและสมุนไพรไทย เช่นการรักษาด้วยเมล็ดยี่หร่าดำ (Black Cumin) ในรูปแบบผงและของเหลว,ไดเมททิล ซัลฟอกไซด์ (Dimethyl Sulfoxide หรือ DMSO), มิราเคิลเสริมเกลือแร่ (MMSหรือโปรโตคอล CD),น้ำมันกัญชาสำหรับใช้ทางการแพทย์, ซีโอไลต์ (zein), เบนโทไนต์และอื่นๆ
โดยวิธีการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนของเรา ถือว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี เพราะวิธีการเหล่านี้ได้ช่วยเหลือผู้ที่แพ้วัคซีนซึ่งได้หายจากอาการอัมพาตหลายประเภท อาทิเช่นอาการอัมพาตที่เกิดขึ้นกับขาทั้งสองข้างที่ขยับไม่ได้, แขนทั้งสองข้างขยับไม่ได้, อัมพาตแบบกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก ส่วนอาการอื่นๆ เช่น ผมร่วงที่มากเกินผิดปกติ (บางคนผมร่วงทั้งหัว), มีผื่นขึ้นบริเวณลำตัวและอื่นๆ อีกมากมาย
ต่อไปนี้จะขอยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่ทางทีมงาน FirstMedInc ได้ช่วยเหลือผู้ป่วยที่เกิดจากการแพ้วัคซีนที่รุนแรง
งูสวัด – ชายไทยอายุ 26 ปี
กรณีหนึ่งที่เราได้รับการรักษาในจังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย โดยใช้วิธีการดีท็อกซ์ร่วมกับยาสมุนไพรไทยบางชนิดคือชายอายุ 26 ปี ภูมิลำเนาจากจังหวัดเชียงใหม่ อาการของเขาป่วยหนักหลังจากได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์สองเข็ม โดยเขาฉีดวัคซีนไฟเซอร์ครั้งแรกในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2564 และครั้งที่สองในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 หลังจากการได้รับวัคซีนไฟเซอร์ครบทั้งสองเข็มอาการผู้ป่วยรายนี้เริ่มมีผื่นขึ้นทั่วใบหน้า คอ หลังศีรษะ ไหล่ แขน และหน้าอก
ในช่วงสองสามเดือนต่อมาผู้ป่วยรายนี้ มีน้ำหนักลดถึง 6 กิโลกรัม เนื่องจากไม่สามารถรับประทานอาหารได้เหมือนเดิมและอาการแพ้วัคซีนที่ผิวหนังของเขาส่งผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างเห็นได้ชัด เช่น ไม่สามารถนอนหลับได้ในตอนกลางคืน, ไม่สามารถออกกำลังกายที่ฟิตเนสได้ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของแขนทำให้เสื้อยืดไปเสียดสีที่ผิวหนังที่อักเสบ ทำให้เกิดอาการปวดและมีเลือดออก ทำให้เขาตัดสินใจที่จะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแต่โชคไม่ดีเท่าไหร่ ที่แพทย์ได้บอกกับเขาว่า“เขามีอาการของโรคงูสวัด และอาจต้องใช้เวลาในการรักษามากกว่า 1 ปี”
หลังจากที่การรักษาของผู้ป่วยรายนี้ไม่ประสบผลสำเร็จได้ดีเท่าที่ควรในโรงพยาบาล ทำให้เขาตัดสินใจได้เข้ารับการรักษาจากทีมงานของเราโดยวิธีรักษาดีท็อกซ์ร่วมกับยาสมุนไพรไทย จึงทำให้เขาสามารถฟื้นตัวได้ 90% ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ ตอนนี้เขาสามารถนอนหลับได้เป็นปกติ ออกกำลังกายที่ฟิตเนสได้ ความท้าทายต่อไปคือการรอให้รอยแผลเป็นหายและกลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง
อัมพาต (ขาทั้งสองข้าง) – หญิงไทยอายุ 27 ปี
หญิงผู้ป่วยจากกรุงเทพฯ อายุ 27 ปี มีอาการขาทั้งสองข้างอ่อนแรง หลังจากการฉีดวัคซีน AstraZeneca เพียงเข็มเดียว อาการป่วยของเธอทำให้เธอไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกตินานหลายเดือนก่อนจะยื่นมือขอความช่วยเหลือจากทีมงานของเรา
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2564 หลังจากเธอได้รับวัคซีน AZ เพียงเข็มเดียว ทำให้เธอป่วยเป็นไข้สูง ปวดท้อง ปวดเมื่อยตามร่างกาย และมีอาการไมเกรน อาการดังกล่าวรุนแรงมากจนไม่สามารถนอนหลับได้ในตอนกลางคืน แม้ว่าเธอจะกินยาพาราเซตามอลทุกสี่ชั่วโมงเพื่อทำให้อาการปวดชาลดลง แต่ก็ไม่เป็นผล
สองสัปดาห์ต่อมา เธอเริ่มสังเกตเห็นความเจ็บปวดในข้อต่อ สังเกตเห็นได้ชัดที่นิ้วเท้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หัวเข่า ทำให้การเดินกลายเป็นเรื่องยากลำบากและเกิดอาการชาที่ขาเป็นอย่างมาก ทำให้การขึ้นลงบันไดแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
อาการเจ็บป่วยของเธอทำให้เธอเป็นทุกข์ทรมานอย่างมาก จนในที่สุดเธอก็ได้ติดต่อผ่านทีมงานของเราผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยทีมงานของเราเริ่มใช้วิธีการรักษาด้วย “วิธีดีท็อกซ์และฟื้นฟูร่างกายของเธอ” ทำให้อาการของเธอดีขึ้นภายในเวลาเพียง 2 วัน ส่งผลให้อาการชาที่ขาของเธอหายไปอย่างสมบูรณ์และสามารถเคลื่อนไหวและกลับมาออกกำลังกายได้อีกครั้งในสัปดาห์เดียวกัน และในปัจจุบันนี้อาการอัมพาตที่ขาทั้งสองข้างเธอได้หายและกลับใช้งานได้อย่างเต็มที่ 100% โดยไม่มีอาการหรือผลข้างเคียงซ้ำๆ
ความผิดปกติของร่างกายหลังจากได้รับวัคซีนโควิด-19 – แพร์
เราจะขอยกตัวอย่างบางคำพูดที่คุณแพร์ได้รับการบอกเล่าผ่านทีมงานของเราดังนี้
“เราชื่อแพร์ เราเป็นคนหนึ่งได้รับวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า (AstraZeneca) 1 เข็ม ในวันที่ 9 สิงหาคม หลังจากได้รับวันแรก เรามีอาการท้องเสีย ตัวร้อนขึ้นเรื่อยๆ และเป็นไข้หนัก เหงื่อออกมากในช่วงกลางคืน ตกดึกนอนไม่หลับเพราะปวดหัว ปวดตัว รู้สึกไม่สบายตัวทั้งคืนถึงเช้า ทานยาพาราครั้งละ 2 เม็ดทุก4 ชั่วโมงก็ไม่หาย นอนติดเตียง ลุกขึ้นจากเตียงแล้วปวดหัว เวียนหัว ตึงๆ มาก และเราก็อยู่ห้องคนเดียว อาหารก็ไม่อยากทาน แต่จำเป็นต้องทานเพราะต้องกินยา ที่บ้านก็เป็นห่วงโทรหาทุกๆ ชั่วโมง และเราต้องสั่งฟูดเดลิเวอรี่มาทานเพราะเดินไปไหนไม่ไหวเลย หัวแปะเจลลดไข้หมดไป 3 ซอง อาการก็ไม่ดีขึ้น และแล้วอาการเริ่มดีขึ้นในวันที่ 3 ไข้ลดลงเรื่อยๆ แต่มีอาการปวดแขนข้างที่ฉีดมากอยู่ 1 สัปดาห์
หลังจากนั้นผ่านไป 2 สัปดาห์ เริ่มมีอาการปวดตามข้อ พวกเข่า นิ้วมือ โดยเฉพาะเข่า รู้สึกเสียวในเข่ามาก ไม่อยากเดินไปไหนเลย ขึ้นลงบันไดยิ่งปวดเสียว ขณะนั่งยังปวดเสียว ปกติแพร์เป็นคนที่ชอบออกกำลังกาย ทำให้แพร์เลิกออกกำลังกายไปเลย 2 เดือน โดยมีอาการปวดเข่าและตามข้ออยู่เดือนนึง แล้วเริ่มหายไปเรื่อย แต่ยังมีอาการปวดนิดหน่อย แพร์ลองหาข้อมูลในเน็ต คืออาการเป็นคนข้อเข่าเสื่อมเหมือนในคนสูงอายุเลย ตัวแพร์เองคิดว่าน่าจะมาจากวัคซีนไปกระตุ้นระบบการทำงานของร่างกายให้ผิดปกติหรือไปทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตัน แพร์บอกกับทีมงาน FirstMedInc หลังจากนั้นทีมงานได้ให้ยา Ivermectin, hydroxychloroquine และวิตามินอื่นๆ พวกฟซิงค์ (Zinc), (Vit C) สมุนไพรมาให้แพร์ลองทาน แล้วผลคือในวันที่สองแพร์รู้สึกหายปวดเข่าไปเลย จากที่อาการปวดมีเล็กน้อย แพร์กลับมาออกกำลังกาย ไม่มีอาการเสียวหรือเจ็บอีกเลยค่ะ และยังบอกขอบคุณทีมงาน FirstMedInc ว่ายาที่คุณให้มาดีมาก ตัวแพร์ทึ่งมาก และนี่ไม่ได้พูดเกินจริงค่ะ เป็นความจริงที่อยากจะบอก และไม่เคยคิดจะรับเข็มที่ 2 หรือ 3 หรือเข็มอื่นเพิ่มอีกเลยค่ะ”
โรคอัมพาตใบหน้า – ชายไทยอายุ 40 ปี
ชายไทยอายุ 40 ปี มีอาการใบหน้าที่เบี้ยวผิดปกติหลังจากได้รับวัคซีน AstraZeneca แพทย์ได้ให้ข้อมูลกับทีมงานของเราว่านี่เป็นผู้ป่วยรายที่สามที่พวกเขาได้รับการรักษาที่มีอาการใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกหลังได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
ผู้ป่วยรายนี้ได้รับการรักษากับทีมงานของเราด้วยวิธีการทานยา ไอเวอร์เม็คติน (Ivermectin) ก่อนที่เขาจะเริ่มการรักษาด้วยยาแผนโบราณ และยาเพรดนิโซน (Prednisone) ในการรักษา และใน10 วันต่อมา ใบหน้าของผู้ป่วยรายนี้กลับมาเคลื่อนที่ได้อีกครั้งโดยมีการเคลื่อนไหวประมาณ 80% บนใบหน้าที่เคยเป็นอัมพาต และไม่ถึงหนึ่งเดือนต่อมาเขาก็หายดีอย่างสมบูรณ์
โรคแพ้ภูมิตนเอง SLE (Systemic Lupus Erythematosus) และมีอาการโรคหนังแข็ง (Scleroderma) – หญิงไทยอายุ 30 ปี
กรณีนี้เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่ถูกบังคับให้ฉีดวัคซีนในสถานที่ทำงาน ผู้ป่วยของเราได้รับ Sinovac เข็มแรกในวันที่ 18 เมษายน 2564 และเข็มที่สองในวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 สามสัปดาห์หลังจากที่ผู้ป่วยรายนี้ฉีดวัคซีนเข็มที่สอง เธอมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงจนทำให้เธอไม่สามารถที่จะทำงานได้ จนในที่สุดเธอต้องเข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน หลังจากได้เข้ารับการรักษาจากห้องฉุกเฉิน เธอได้รับการวินิจฉัยว่า “หัวใจของเธอมีอาการผิดปกติ” และในที่สุดเธอได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาสองคืน
หลังจากการรักษาในโรงพยาบาล เหมือนอาการของเธอจะไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเธอเริ่มรู้สึกอ่อนแรงอย่างมากอีกครั้ง และได้กลับไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาต่อ โดยแพทย์ตรวจพบ “จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติอีกครั้ง”
ต่อมาในเดือนสิงหาคม อาการของเธอไม่มีท่าทีจะดีขึ้น เธอได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอีกครั้ง แพทย์พบของเหลวในช่องเยื่อหุ้มหัวใจหลังจากเอ็กซเรย์ปอดและหัวใจ ภาวะนี้เรียกว่า “อาการที่หายใจถี่เกิดขึ้นเมื่อนอนราบ (Orthopnea)” ทำให้ในตอนกลางคืนของเธอไม่สามารถนอนหลับได้
การทดสอบเพิ่มเติมกับแพทย์โรคหัวใจยังพบอีกว่าหัวใจของเธอไม่สามารถหดตัวอย่างเหมาะสม การตรวจเลือดยังให้ผลลัพธ์ที่ไม่ปกติมาก และในที่สุดเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น “โรคลูปัส Systemic Lupus Erythematosus (SLE)” ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายอวัยวะต่างๆ
การรักษาในโรงพยาบาลไม่ได้ราบรื่นสำหรับเธอ เธอจึงได้มาขอความช่วยเหลือจากทีมงานของเรา โดยทีมงานของเราได้ให้ยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone) และยาไฮดร็อกซี่คลอโรควิน (hydroxychloroquine) ในการรักษาอาการของเธอ
การป่วยครั้งนี้ของเธอส่งผลต่อการดำรงชีวิตประจำวันของเธอเป็นอย่างมาก เธอไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่สามารถทำงานได้เหมือนเดิม เรียกได้ว่าการป่วยครั้งนี้ส่งผลต่อสภาวะร่างกายและจิตใจของเธอเป็นอย่างมาก และถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะมีอาการที่ดีขึ้นหลังได้รับการรักษากับทีมงานของเรา และรู้สึกว่าอาการหัวใจของเธอกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่เธอยังคงต่อสู้กับอาการผิวหนังที่หนาและแข็งตัวของเธอ และกังวลเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันเนื่องมาจาก “ภูมิคุ้มกันอ่อนแอของเธอ”
จากที่ได้ยกตัวอย่างกรณีมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ทีมงานของเราได้เข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับผู้ที่เข้ามาอ่านทุกท่าน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์การแพ้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่รุนแรงนี้จะไม่เกิดขึ้นกับตัวท่านเอง และคนใกล้ตัวของท่าน ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ด้วยความปรารถนาดีจากทีมงาน FirstMedInc